วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

เริ่มเรื่อง 

      
      เมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา ณ เมืองอุชเชนี (อุชชยินี) มีพระราชาทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่เลื่องลือ ทรงพระนามว่า พระวิกรมาทิตย์ ครั้งนั้นมีโยคีตนหนึ่งชื่อศานติศีลผูกอาฆาตพระราชบิดาของพระวิกรมาทิตย์และประสงค์ที่จะเอาชีวิตพระองค์แทน ซึ่งพระวิกรมาทิตย์ทรงพระราชสมภพ(เกิด)ในวัน เดือน ปี และฤกษ์เดียวกันกับตนเพื่อเป็นการบูชานางทุรคา โดยทำอุบายปลอมตนเป็นพ่อค้านำทับทิมล้ำค่าซ่อนไว้ในผลไม้มาถวายพระวิกรมาทิตย์ทุกวัน พระวิกรมาทิตย์จึงพระราชทานพระอนุญาตให้พ่อค้าทูลขอสิ่งที่ปรารถนาเพื่อเป็นการตอบแทน ศานติศีลจึงเผยตัวว่าตนเองเป็นโยคีและทูลขอให้พระวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาลในป่าช้า เพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างหนึ่งและตามสัญญา พระวิกรมาทิตย์จะต้องเสด็จไปกับพระราชโอรสเท่านั้น  เวตาลนั้นสิงอยู่ในซากศพซึ่งแขวนอยู่ที่ต้นอโศก  พระวิกรมาทิตย์ต้องทรงปีนขึ้นไปจับตัวเวตาลให้ได้ แต่เวตาลขอสัญญากับพระวิกรมาทิตย์ว่าจะเล่านิทานเป็นปริศนาขณะที่เดินทาง หากพระองค์ตรัสตอบเมื่อใดเวตาลจะกลับไปยังต้นอโศกทันที เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงสัญญา เวตาลก็เริ่มเล่านิทาน


นิทานเรื่องที่ ๑  

พระวัชรมุกุฎโอรสของพระราชาแห่งกรุงพาราณสีทรงม้าเสด็จออกเที่ยวล่าเนื้อในป่าพร้อมด้วยพุทธิศริระพระสหาย  พบนางปัทมาวดีธิดาท้าวทันตวัตเกิดความพอพระทัย  นางปัทมาวดีกระทำกิริยาบอกโดยนัยให้ทรงทราบเรื่องเกี่ยวกับนาง  พุทธิศริระช่วยพระมุกุฎตีความและดำเนินการจนพระวัชรมุกุฎได้นางเป็นชายาลับๆ  พระวัชรมุกุฎด้อยปัญญากว่านางจึงต้องพึ่งพุทธิศริระอยู่ตลอดเวลา  นางปัทมาวดีออกอุบายฆ่าพุทธิศริระ  แต่พุทธิศริระรู้ทันจึงซ้อนอุบายจนนางถูกพระบิดาขับไล่ออกจากเมือง  เวตาลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าเรื่องนี้ควรติโทษใครมากที่สุด  พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบเวตาลหัวเราะแล้วก็บินกลับไปอยู่ที่เดิม

นิทานเรื่องที่ ๒ 

พระรามเสน  พระราชบุตรของพระราชาธิบดีแห่งเมืองโภคาวดี  ทรงมีนกแก้วตัวหนึ่งชื่อจุรามัน  นกตัวนี้พูดภาษาสันสกฆตคล่องและเฉลียวฉลาด  ฝ่ายนางจันทราวดี  ธิดาท้าวมคเธศวรแห่งเมืองมคธ  มีนกขุนทองชื่อว่า  โสมิกา  พูดสันสกฤตคล่องและมีความรู้มากเช่นกัน  ทั้งสองได้อภิเษกสมรสกันแล้วไปอยู่ ณ เมืองโภคาวดี  นางจันทราวดีได้นำนกขุนทองไปด้วย  พระรามเสนโปรดให้ปล่อยนกทั้งสองตัวรวมกรงใหญ่กรงเดียวกัน  นกทั้งคู่ทะเลาะกัน  ถกเถียงด้วยเรื่องหยิงและชายว่าใครชั่วกว่ากัน  นกแต่ละตัวได้เล่านิทานประกอบเหตุผลของตน  แต่ก็ไม่สามารถัดสินใจได้  เวตาลจึงทูลถามพระวิกรมาทิตย์ให้ทรงตัดสิน  พระองคืตรัสตอบ  เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปอยู่ที่เดิม



นิทานเรื่องที่ ๓

ท้าวรูปเสนพระราชาแห่งเมืองโศภาสดี  มีข้าใช้ใกล้ชิดชื่อ  สุรเสน  สุรเสนได้พาวีรพลผู้ซึ่งมีความชำนาญการรบและซื่อสัตย์เข้าเฝ้าพระราชา  พระราชาทรงอนุญาตให้วีรพลรับข้าราชการอารักขาและรับใช้ใกล้ชิด  วันหนึ่งนางราชลักษมี นางฟ้าผู้เกิดจากเกษียรสมุทร  ได้สำแดงตัวต่อวีรพลและทำนายว่าท้าวรูปเสนจะสิ้นพระชนม์  แต่วีรพลสามารถช่วยได้โดยตัดศีรษะบุตรของตนบูชาพระเทวะรูปซึ่งประจำอยู่ที่สาลแห่งหนึ่งวีรพลได้ปฎิบัติตามคำทำนาย  แล้วทุกคนในครอบครัวก็ฆ่าตัวตายตามกัน  พระราชาได้แอบทอดพระเนตรอยู่เห็นดังนั้นก็คว้าดาบขึ้นมาจะประหารพระองค์เอง  แต่เทวรูปพระเทวียึดพระหัตถ์ไว้และให้ขอพรตามประสงค์  ท้าวรูปเสนได้ขอชีวิตให้ทุกคนคืนชีวิต  แล้วทุกคนก็ฟื้นคืนชีวิตดังเดิม  เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าใครโง่ที่สุด  พระองคืตรัสตอบ  เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปที่เดิม




นิทานเวตาลเรื่องที่ ๔  



หิรัณยทัตต์พ่อค้ามีบุตรีงามชื่อนางมันทนเสนา  เมื่อถึงอายุอันควร  บิดามารดาก็ตรึกตรองเรื่องการวิวาห์ ได้มีชาย ๔ คน จากเมือง ๔ เมืองมาขอนางมัทนเสนาเป็นภรรยา  พ่อค้าจึงให้ชายทั้ง ๔ แสดงความสามารถ ความรู้  แล้วจึงตัดสินใจเลือกชายคนที่ ๓ เพราะอยู่วรรณะเดียวกัน  ในระหว่างที่เตรียมการวิวาห์นั้น  นางมัทนเสนาได้พบกับโสมทัตต์บุตรพ่อค้าชื่อ ธรรมทัตต์  โสมทัตต์หลงรักนางจนอยากฆ่าตัวตาย  นางจึงให้สัญญาว่า  ในวันวิวาห์นางจะไปหาโสมทัตต์ก่อนแล้วจึงจะย้อนกลับไปหาสามี  ครั้นวันวิวาห์และส่งตัว  นางได้เล่าให้สามีฟัง  สามีอนุญาตให้นางไปหาโสมทัตต์ได้  ระหว่างทางนางได้พบโจรจึงได้ขอร้องโจรมิให้เอาเครื่องประดับไป  โดยสัญญาว่าจะนำมาให้เมื่อกลับจากหาโสมทัตต์  แต่เมื่อไปถึง  โสมทัตต์สิ้นรักนางเพราะทราบว่านางมีสามีแล้ว  นางมัทนเสนาจึงเดินทางกลับและนำเครื่องประดับมาให้โจร  โจรไม่รับแต่กลับชมนาง  เมื่อนางกลับถึงบ้านสามีได้สิ้นรักนางแล้ว  เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าชายทั้ง ๓  คนนี้ใครดีที่สุด  พระวิกรมาทิตย์เผลอตรัสตอบ  เวตาลก็ลอยออกจากย่ามตามเคย



นิทานเวตาลเรื่องที่ ๕  


ที่เมืองมาลยะมีโจรขโมยชุกชุม  ประชาชนเดือดร้อนจึงเข้าไปเฝ้าพระราชารันธีระ  พระราชาทรงรับว่าจะจัดการให้สิ้นความเดือดร้อนโดยได้ปลอมพระองค์เป็นโจรในเวลากลางคืน  ได้รู้จักหัวหน้าโจรและโจรอีกมากมาย  ทรงกำหนดไว้ว่าจะมากวาดล้างในภายหลังแล้วเสด็จหนีกลับวัง  ในคืนถัดไปพระราชาเสด็จออกจับโจร  ทรงจับนายโจรและกำหนดประหารชีวิต  ขณะที่ขบวนประหารผ่านไปทางบ้านเศรษฐี  ลูกสาวเศรษฐีชื่อนางโศภนีเห็นนายโจรเข้าก็หลงรักจึงให้บิดาไปขอไถ่โทษนายโจร  แต่ไม่สำเร็จ  ก่อนประหารมีผู้เล่าเรื่องนางโศภนีให้นายโจรฟัง  นายโจรก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศกและหัวเราะอย่างร่าเริงสลับกันไป  เมื่อนายโจรถูกประหารแล้ว  นางโศภนีได้เผาตัวเองตายตาม  บิดาก็ฆ่าตัวตายตามบุตรี  เวตาลเล่ามาถึงเพียงนี้  พระธรรมธวัชพระโอรสของพระวิกรมาทิตย์ที่ตามเสด็จมาด้วย  ทูลถามพระบิดาว่านายโจรหัวเราะเพราะเหตุใด  เมื่อพระวิกรมาทิตยืตรัสตอบ  เวตาลได้ทีก็กล่าวขอบคุณ  แล้วอธิบายข้อสงสัยแก่พระธรรมธวัชก่อนจากไป





นิทานเวตาลเรื่องที่ ๖  


ที่กรุงธรรมสถล  พราหมณ์เกศวะเดิมมีนิสัยพาลแต่กลับตัวได้  เกศวะมีบุตรีชื่อ มธุมาลตี  เป็นหญิงงาม เกศวะ  ภรรยา และบุตรชาย ซึ่งเป็นพี่ของนางมธุมาลตี  ต่างตกลงยกนางให้แก่ชายหนุ่มแต่ละคนที่ตนพอใจ  เมื่อไม่ทราบว่าจะต้องตัดสินใจยกนางให้แก่ชายคนใดดี  เกศวะจึงให้ชายหนุ่มทั้งสามมาประชันความรู้กัน  ขณะที่เกศวะยังลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้นั้น  พอดีมีงูพิษมาฉกนางมธุมาลตีตาย  เมื่อเกศวะเผาศพลูกสาวแล้ว  ชายหนุ่มทั้งสามตกลงใจจะเที่ยวดั้นด้นต่อไป  ชายคนที่ ๑ จึงเก็บเอาห่อกระดูกนางเรียงเข้าใส่ห่อ  ชายคนที่ ๒  กวาดเอาเถ้าถ่านที่เผาศพนางรวมเข้าเป็นห่อ  ชายคนที่ ๓  บวชเป็นโยคี  ทั้งสามคนได้เที่ยวไปตามทางของตน  ชายคนที่ ๓ ไปได้วิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น  ทั้งสามคนได้กลับมาพบกัน ณ ป่าช้าที่เผาศพนาง  แล้วทำพิธีชุบชีวิตนางจากกระดูกและเถ้าถ่านที่ชายคนที่ ๑ และ ๒ รักษาไว้  เมื่อนางฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็เกิดปัญหาอีกว่านางควรจะได้วิวาหะกับชายคนใด  เวตาลจึงทูลให้พระวิกรมาทิตย์ตัดสิน  แต่เมื่อทรงตัดสินแล้ว  เวตาลก็หัวเราะก้องฟ้าลอยไปแขวนอยู่ที่ต้นอโศกเช่นเคย





นิทานเวตาลเรื่องที่ ๗ 


นางจันทร์ประภาพระธิดาท้าวสุพิจารแห่งเมืองกุสุมาวดีเกิดความรักใคร่กับมนัสวีหนุ่มบุตรพราหมณ์ทันทีที่ได้สบตากัน  ทั้งสองทนพิษความรักไม่ไหว  ได้สลบไป  มนัสวีได้สลบอยู่นานจนมีพราหมณ์ผู้มีวิชาสองคน  คือ ศศีและมูลเทวะมาพบเข้า   มูลเทวะตกลงช่วยมนัสวีและพามายังบ้านตนแล้วให้ลูกอมแก่มนัสวี   เมื่ออมอยู่ในปากจะกลายเป็นหญิงสาว  เมื่อคายออกจะกลายเป็นหนุ่มดังเดิม   ส่วนมูลเทวะอมอีกลูกหนึ่งให้กลายเป็นพราหมณ์แก่แล้วพามนัสวีเข้าวังไปขอฝากไว้กับท้าวสุพิจารโดยทูลว่าเป็นภรรยาของบุตรตน  ท้าวสุพิจารโปรดให้มนัสวีอยู่กับพระธิดา  ทั้งสองจึงได้อยู่ร่วมกัน  วันหนึ่งมนัสวีได้ตามเสด็จท้าวสุพิจารไปบ้านมหาอำมาตย์   บุตรโกษาธิยดีได้พบก็หลงรักจึงให้บิดาไปทูลขอมนัสวีจากพระราชา  มนัสวีจึงต้องไปอยู่บ้านโกษาธิบดี   วันหนึ่งอมลูกอมพลาดลื่นลงไปในลำคอไม่สามารถแปลงเป็นหญิงได้จึงหลบหนีไป  ศศีทราบดังนั้นจึงออกอุบายที่จะได้พระธิดามาเป็นภรรยา  มูลเทวะจึงให้ศศีอมลูอมกลายเป็นพราหมณ์หนุ่มแล้วพาเข้าวัง  มูลเทวะทูลพระราชาว่าบุตรชายได้กลับมาแล้วจะขอรับภรรยาคืน  พระราชาจำต้องยกพระธิดาให้แก่ศศีตามคำขู่ของมูลเทวะ  เมื่อมนัสวีทราบจึงตามไปขอพระธิดาจาดศศีคืนโดยอ้างว่าเป็นภรรยาตน   เวตาลแสดงความเห็นว่าแม้จะไม่มีใครเป็นพยานให้มนัสวีแต่คนก็คงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง   พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดเช่นนั้นจึงทรงแสดงความเห็นคัดค้าน   เวตาลจึงได้โอกาสกลับไปยังต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง





นิทานเรื่องที่ ๘   


พระยศเกตุราชาแห่งแคว้นองคะ  สดับเรื่องนางทิพย์ที่ทีรฆะทรรศินผู้เป็นมุขมนตรีเล่าถวาย  มีพระหฤทัยใคร่ได้นางมาเป็นชายา  จึงแต่งพระองค์เป็นดาบสออกเดินทางไปพบลักษมีทัตต์พ่อค้าแล้วเสด็จลงเรือไปด้วย  ได้พบนางทิพย์นั่งดีดพิณและขับลำนำบนต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งมีกิ่งก้านเป็นทองคำ  โผล่ขึ้นมาเหนือคลื่นน้ำแห่งท้องทะเลแล้วหายไปโดยเร็วดังคำบอกเล่า  จึงตั้งใจอธิฐานต่อพระสมุทร  ขอให้สมหวังในความรักแล้วทรงโจมลงน้ำได้ทอดพระเนตรเห็นเมืองอันวิจิตรและนางทิพย์ในเมืองนั้น  จึงได้มีความสุขอยู่ร่วมกัน   วันหนึ่งพระยศเกตุได้แอบทอดพระเนตรเห็นรากษสจับนางทิพย์กลืนกินจึงชักพระแสงดาบฟันรากษสคอขาด   ก็เห็นนางออกมาจากกายรากษสโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ   จึงตรัสถามนางว่าเพราะเหตุใด   คำถามนั้นเองทำให้นางพ้นคำสาปและระลึกชาติได้  นางทูลเล่าว่านางเป็นธิดาของเมืองนี้  ถูกบิดาสาปแล้วพระบิดาได้หนีไปอยู่เขานิษธในโลกมนุษย์   เมื่อนางพ้นคำสาปนางจะต้องรีบไปเฝ้าพระบิดาแต่พระยศเกตุทรงขอให้นางอยู่ต่ออีก ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๗  ก็ตรัสชวนนางเข้าไปในห้องที่มีอ่างแก้วอันเป็นประตูสู่โลกมนุษย์   แล้วทรงกอดนางพาโจมลงอ่างไปผุดขึ้นในสระอุทยานแคว้นองคะ   เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์พ้น ๗ วัน  นางจะกลับคืนสู่พวกตนก็เหาะไม่ขึ้นจึงต้องอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป  ฝ่ายทีรฆะทรรศินเมื่อทราบเรื่องก็เฝ้าแต่ตรึกตรองเรื่องนี้จนดับชีวิตไปด้วยความเสียใจ   เล่าจบเวตาลทูลถามว่าทีรฆะทรรศินเสียใจตายเพราะเหตุใด  พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็น  พระวิกรมาทิตย์ทรงคัดค้าน  เวตาลก็ลอยกลับไปอยู่ที่ต้นอโศกตามเดิม





นิทานเรื่องที่ ๙  


นางมุกดาวลี  บุตรพราหมณ์หริทาส  มีความงามเลื่องลือไปทุกทิศ  มีชายหลงรักมากมาย  ได้มีชายสี่คนมาขอไปเป็นภรรยา  ทริทาสจึงมาแสดงความรู้ประชัน  คนที่  ๑  และ  ๒  ไม่เป็นที่พอใจจึงเชิญกลับึ  คนที่  ๓  คุณากร  และคนที่  ๔  รัตนทัตต์  ให้มาประชันกันใหม่  แล้วพราหมณ์หริทาสก็ตัดสินใจยกนางให้รัตรทัตต์  มาหเสนีชายคนที่  ๑  ทราบเรื่อง  ก็มาพาลพูดว่าหากไม่ได้นางเป็นภรรยาจะฆ่าตัวตาย  รัตนทัตต์จึงประชดบอกให้ทำตามที่พูด  มหาเสนีจึงฆ่าตัวตายแล้วเป็นรากษสมาพานางไปไว้ที่ยอดเขาหิมาลัย  รัตนทัตต์ขอให้คุณากรช่วย  ทั้งสองตามนางกลับมาได้  แล้วพานางไปอยู่ที่บ้านของรัตนทัตต์  คุณากรสัณณาว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนจึงติดตามไปด้วย  ระหว่างทาง  คืนหนึ่งนางมุกดาวลีฝันร้ายจึงเล่าให้สามีฟัง  รัตนทัตต์ทำนายว่าจะเกิดเหตุร้าย  จึงหยิบด้ายออกมาเส้นหนึ่งตัดออกเป็นสามเส้น  แจกกันคนละเส้น  อธิบายว่าถ้าเกิดเหตุเป็นภัยแก่ร่างกายให้ผูกเชือกเข้าไปที่แผลก็จะหาย  แล้วสอนมนต์ชุบคนตายให้คืนชีพแก่ภรรยาและเพื่อน  ไม่นานทั้งสามก็พบพวกกิราตะ  เกิดสู้รบกัน  รัตนทตต์และคุณากรถูกคัดศรีษะขาด  นางมุกดาวลีเมื่อได้สติแล้วได้นำศรีษะกับตัวของชายทั้งสองมาติดต่อกันแล้วทำพิธีชุบชีวิต  แต่ด้วยนางมีความตื่นตระหนกอยู่จึงทำให้ต่อตัวกับศรีษะของชายทั้งสองสลับกัน  เมื่อชุบชีวิตแล้วฟื้นแล้วจึงเกิดปัญหาโต้เถียงกัน  ไม่อาจตัดสินได้ว่านางเป็นภรรยาของใคร  พระธรรมธวัชทรงนึกขันจึงทรงพระสรวลขึ้น  พระวิกรมาทิตย์ไม่สู้พอพระทันักจึงทรงอธิบายแพระโอรสเวตาลแสดงความเห็นโต้แย้ง  แล้วก็กลับไปอยู่ที่ตันอโศก





นิทานเรื่องที่ ๑๐ 


ท้าวมหาพล  พระราชาแห่งกรุงธรรมปุระมีมเหสีที่ยังดูสาว  เทียบกับพระธิดาแล้วก็ราวพี่น้อง  เมื่อเกิดสงครามท้าวมหาพลได้พานางทั้งสองหนีไป  ผ่านหมู่บ้านภิลล์ซึ่งเป็นหมู่บ้านโจร  เกิดการต่อสู้กัน  ท้าวมหาพลสิ้นพระชนม์  นางทั้งสองหนีไปได้  ฝ่ายพระราชาจันทรเสรกับพระราชบุตรทรงม้าล่าสัตว์ไปตามแนวป่า  ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสตรีสองคนจึงทรงตกลงกันว่าพระราชาเลือกนางผู้มีรอยเท้าใหญ่  พระราชบุตรจะเลือกนางผู้มีรอยเท้าเล็กมาเป็นชายา  ครั้งเสด็จไปพบพระมเหสีและพระธิดาแห่งท้าวมหาพลแล้วจึงทรงรับนางทั้งสองไปอภิเษก  ปรากฎว่าพระราชาจัทรเสนอภิเษกกับพระธิดา  และพระราชบุตรอภิเษกกับพระมเหสีแห่งท้าวมหาพล  เล่าถึงเพียงนี้  เวตาลก็ตั้งปัญหาว่าบุตรธิดาที่เกิดแต่คู่อภิเษกทั้งสองคู่นี้จะนับญาติกันอย่างไร  พระวิกรมาทิตย์ทรงตรึกตรองแต่ก็ไม่ทรงตอบประการใด  ในที่สุดก็เสด็จนำเวตาลถึงป่าช้า    บริเวณประกอบพิธีของโยศีศานติศีล






ปลายเรื่อง


         เมื่อพระวิกรมาทิตย์ไม่ตรัส เวตาลก็ถวายความรู้ที่เป็นประโยชน์แด่พระองค์ เมื่อพระองค์นำข้าพเจ้าไปให้โยคีในคืนวันนี้ โยคีศานติศิลก็จะตัดเศียรของพระองค์ทางเบื้องหลัง เวตาลได้ให้ข้อคิดว่า บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจฆ่าตนได้โดยคลองธรรม ครั้นทูลเสร็จเวตาลก็ออกจากศพที่สิงอยู่  พระวิกรมาทิตย์และราชบุตรเสด็จพระดำเนินไปจนถึงที่ที่โยคีศานติศิลกำลังทำ พิธีอยู๋กลางป่าช้าวางย่ามศพลงตรงหน้าโยคี โยคีแสดงความยินดีและขอให้พระราชาทำความเคารพเทวรูปโดยอัษฎางคประณตแต่พระ ราชารู้ทันแล้วจึงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่าขอให้โยคีทำให้ดูก่อน โยคีก็ตกหลุมพรางจึงก้มลงกราบอัษฎางคประณต พราะวิกรมาทิตย์ใช้พระแสงดาบฟันศีรษะขาด ขณะนั้นเทวรูปคว่ำลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหนี่ยวพระองค์กระชากไปโดยแรง พระราชาจึงหลีกพ้นเทวรูปรอดชีวิตไปได้ ในทันใดนั้นมีเสียงกล่าวในอากาศว่า “บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม” แลมีเสียงดนตรีแลคำอวยชัยมาจากในฟ้า ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวารก็เสด็จมาเฉพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพรๆ หนึ่ง พระวิกรมาทิตย์ทูลว่า “ข้าแต่พระจอมสวรรค์ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้านี้ ปรากฏไปในโลกชั่วกาลนาน” พระอินทร์ตรัสว่า “เราให้พรแก่ท่านดังขอ แลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟ้า
         ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดมีพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “เมื่อข้าเรียกเจ้าจงมาทันที” แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้