เริ่มเรื่อง
เมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา ณ เมืองอุชเชนี (อุชชยินี) มีพระราชาทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่เลื่องลือ ทรงพระนามว่า พระวิกรมาทิตย์ ครั้งนั้นมีโยคีตนหนึ่งชื่อศานติศีลผูกอาฆาตพระราชบิดาของพระวิกรมาทิตย์และประสงค์ที่จะเอาชีวิตพระองค์แทน ซึ่งพระวิกรมาทิตย์ทรงพระราชสมภพ(เกิด)ในวัน เดือน ปี และฤกษ์เดียวกันกับตนเพื่อเป็นการบูชานางทุรคา โดยทำอุบายปลอมตนเป็นพ่อค้านำทับทิมล้ำค่าซ่อนไว้ในผลไม้มาถวายพระวิกรมาทิตย์ทุกวัน พระวิกรมาทิตย์จึงพระราชทานพระอนุญาตให้พ่อค้าทูลขอสิ่งที่ปรารถนาเพื่อเป็นการตอบแทน ศานติศีลจึงเผยตัวว่าตนเองเป็นโยคีและทูลขอให้พระวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาลในป่าช้า เพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างหนึ่งและตามสัญญา พระวิกรมาทิตย์จะต้องเสด็จไปกับพระราชโอรสเท่านั้น เวตาลนั้นสิงอยู่ในซากศพซึ่งแขวนอยู่ที่ต้นอโศก พระวิกรมาทิตย์ต้องทรงปีนขึ้นไปจับตัวเวตาลให้ได้ แต่เวตาลขอสัญญากับพระวิกรมาทิตย์ว่าจะเล่านิทานเป็นปริศนาขณะที่เดินทาง หากพระองค์ตรัสตอบเมื่อใดเวตาลจะกลับไปยังต้นอโศกทันที เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงสัญญา เวตาลก็เริ่มเล่านิทาน
นิทานเรื่องที่ ๑
พระวัชรมุกุฎโอรสของพระราชาแห่งกรุงพาราณสีทรงม้าเสด็จออกเที่ยวล่าเนื้อในป่าพร้อมด้วยพุทธิศริระพระสหาย พบนางปัทมาวดีธิดาท้าวทันตวัตเกิดความพอพระทัย นางปัทมาวดีกระทำกิริยาบอกโดยนัยให้ทรงทราบเรื่องเกี่ยวกับนาง พุทธิศริระช่วยพระมุกุฎตีความและดำเนินการจนพระวัชรมุกุฎได้นางเป็นชายาลับๆ พระวัชรมุกุฎด้อยปัญญากว่านางจึงต้องพึ่งพุทธิศริระอยู่ตลอดเวลา นางปัทมาวดีออกอุบายฆ่าพุทธิศริระ แต่พุทธิศริระรู้ทันจึงซ้อนอุบายจนนางถูกพระบิดาขับไล่ออกจากเมือง เวตาลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าเรื่องนี้ควรติโทษใครมากที่สุด พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบเวตาลหัวเราะแล้วก็บินกลับไปอยู่ที่เดิม
นิทานเรื่องที่ ๒
พระรามเสน พระราชบุตรของพระราชาธิบดีแห่งเมืองโภคาวดี ทรงมีนกแก้วตัวหนึ่งชื่อจุรามัน นกตัวนี้พูดภาษาสันสกฆตคล่องและเฉลียวฉลาด ฝ่ายนางจันทราวดี ธิดาท้าวมคเธศวรแห่งเมืองมคธ มีนกขุนทองชื่อว่า โสมิกา พูดสันสกฤตคล่องและมีความรู้มากเช่นกัน ทั้งสองได้อภิเษกสมรสกันแล้วไปอยู่ ณ เมืองโภคาวดี นางจันทราวดีได้นำนกขุนทองไปด้วย พระรามเสนโปรดให้ปล่อยนกทั้งสองตัวรวมกรงใหญ่กรงเดียวกัน นกทั้งคู่ทะเลาะกัน ถกเถียงด้วยเรื่องหยิงและชายว่าใครชั่วกว่ากัน นกแต่ละตัวได้เล่านิทานประกอบเหตุผลของตน แต่ก็ไม่สามารถัดสินใจได้ เวตาลจึงทูลถามพระวิกรมาทิตย์ให้ทรงตัดสิน พระองคืตรัสตอบ เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปอยู่ที่เดิม
นิทานเรื่องที่ ๓
ท้าวรูปเสนพระราชาแห่งเมืองโศภาสดี มีข้าใช้ใกล้ชิดชื่อ สุรเสน สุรเสนได้พาวีรพลผู้ซึ่งมีความชำนาญการรบและซื่อสัตย์เข้าเฝ้าพระราชา พระราชาทรงอนุญาตให้วีรพลรับข้าราชการอารักขาและรับใช้ใกล้ชิด วันหนึ่งนางราชลักษมี นางฟ้าผู้เกิดจากเกษียรสมุทร ได้สำแดงตัวต่อวีรพลและทำนายว่าท้าวรูปเสนจะสิ้นพระชนม์ แต่วีรพลสามารถช่วยได้โดยตัดศีรษะบุตรของตนบูชาพระเทวะรูปซึ่งประจำอยู่ที่สาลแห่งหนึ่งวีรพลได้ปฎิบัติตามคำทำนาย แล้วทุกคนในครอบครัวก็ฆ่าตัวตายตามกัน พระราชาได้แอบทอดพระเนตรอยู่เห็นดังนั้นก็คว้าดาบขึ้นมาจะประหารพระองค์เอง แต่เทวรูปพระเทวียึดพระหัตถ์ไว้และให้ขอพรตามประสงค์ ท้าวรูปเสนได้ขอชีวิตให้ทุกคนคืนชีวิต แล้วทุกคนก็ฟื้นคืนชีวิตดังเดิม เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าใครโง่ที่สุด พระองคืตรัสตอบ เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปที่เดิม
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๔
หิรัณยทัตต์พ่อค้ามีบุตรีงามชื่อนางมันทนเสนา เมื่อถึงอายุอันควร บิดามารดาก็ตรึกตรองเรื่องการวิวาห์ ได้มีชาย ๔ คน จากเมือง ๔ เมืองมาขอนางมัทนเสนาเป็นภรรยา พ่อค้าจึงให้ชายทั้ง ๔ แสดงความสามารถ ความรู้ แล้วจึงตัดสินใจเลือกชายคนที่ ๓ เพราะอยู่วรรณะเดียวกัน ในระหว่างที่เตรียมการวิวาห์นั้น นางมัทนเสนาได้พบกับโสมทัตต์บุตรพ่อค้าชื่อ ธรรมทัตต์ โสมทัตต์หลงรักนางจนอยากฆ่าตัวตาย นางจึงให้สัญญาว่า ในวันวิวาห์นางจะไปหาโสมทัตต์ก่อนแล้วจึงจะย้อนกลับไปหาสามี ครั้นวันวิวาห์และส่งตัว นางได้เล่าให้สามีฟัง สามีอนุญาตให้นางไปหาโสมทัตต์ได้ ระหว่างทางนางได้พบโจรจึงได้ขอร้องโจรมิให้เอาเครื่องประดับไป โดยสัญญาว่าจะนำมาให้เมื่อกลับจากหาโสมทัตต์ แต่เมื่อไปถึง โสมทัตต์สิ้นรักนางเพราะทราบว่านางมีสามีแล้ว นางมัทนเสนาจึงเดินทางกลับและนำเครื่องประดับมาให้โจร โจรไม่รับแต่กลับชมนาง เมื่อนางกลับถึงบ้านสามีได้สิ้นรักนางแล้ว เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าชายทั้ง ๓ คนนี้ใครดีที่สุด พระวิกรมาทิตย์เผลอตรัสตอบ เวตาลก็ลอยออกจากย่ามตามเคย
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๕
ที่เมืองมาลยะมีโจรขโมยชุกชุม ประชาชนเดือดร้อนจึงเข้าไปเฝ้าพระราชารันธีระ พระราชาทรงรับว่าจะจัดการให้สิ้นความเดือดร้อนโดยได้ปลอมพระองค์เป็นโจรในเวลากลางคืน ได้รู้จักหัวหน้าโจรและโจรอีกมากมาย ทรงกำหนดไว้ว่าจะมากวาดล้างในภายหลังแล้วเสด็จหนีกลับวัง ในคืนถัดไปพระราชาเสด็จออกจับโจร ทรงจับนายโจรและกำหนดประหารชีวิต ขณะที่ขบวนประหารผ่านไปทางบ้านเศรษฐี ลูกสาวเศรษฐีชื่อนางโศภนีเห็นนายโจรเข้าก็หลงรักจึงให้บิดาไปขอไถ่โทษนายโจร แต่ไม่สำเร็จ ก่อนประหารมีผู้เล่าเรื่องนางโศภนีให้นายโจรฟัง นายโจรก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศกและหัวเราะอย่างร่าเริงสลับกันไป เมื่อนายโจรถูกประหารแล้ว นางโศภนีได้เผาตัวเองตายตาม บิดาก็ฆ่าตัวตายตามบุตรี เวตาลเล่ามาถึงเพียงนี้ พระธรรมธวัชพระโอรสของพระวิกรมาทิตย์ที่ตามเสด็จมาด้วย ทูลถามพระบิดาว่านายโจรหัวเราะเพราะเหตุใด เมื่อพระวิกรมาทิตยืตรัสตอบ เวตาลได้ทีก็กล่าวขอบคุณ แล้วอธิบายข้อสงสัยแก่พระธรรมธวัชก่อนจากไป
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๖
ที่กรุงธรรมสถล พราหมณ์เกศวะเดิมมีนิสัยพาลแต่กลับตัวได้ เกศวะมีบุตรีชื่อ มธุมาลตี เป็นหญิงงาม เกศวะ ภรรยา และบุตรชาย ซึ่งเป็นพี่ของนางมธุมาลตี ต่างตกลงยกนางให้แก่ชายหนุ่มแต่ละคนที่ตนพอใจ เมื่อไม่ทราบว่าจะต้องตัดสินใจยกนางให้แก่ชายคนใดดี เกศวะจึงให้ชายหนุ่มทั้งสามมาประชันความรู้กัน ขณะที่เกศวะยังลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้นั้น พอดีมีงูพิษมาฉกนางมธุมาลตีตาย เมื่อเกศวะเผาศพลูกสาวแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามตกลงใจจะเที่ยวดั้นด้นต่อไป ชายคนที่ ๑ จึงเก็บเอาห่อกระดูกนางเรียงเข้าใส่ห่อ ชายคนที่ ๒ กวาดเอาเถ้าถ่านที่เผาศพนางรวมเข้าเป็นห่อ ชายคนที่ ๓ บวชเป็นโยคี ทั้งสามคนได้เที่ยวไปตามทางของตน ชายคนที่ ๓ ไปได้วิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น ทั้งสามคนได้กลับมาพบกัน ณ ป่าช้าที่เผาศพนาง แล้วทำพิธีชุบชีวิตนางจากกระดูกและเถ้าถ่านที่ชายคนที่ ๑ และ ๒ รักษาไว้ เมื่อนางฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็เกิดปัญหาอีกว่านางควรจะได้วิวาหะกับชายคนใด เวตาลจึงทูลให้พระวิกรมาทิตย์ตัดสิน แต่เมื่อทรงตัดสินแล้ว เวตาลก็หัวเราะก้องฟ้าลอยไปแขวนอยู่ที่ต้นอโศกเช่นเคย
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๗
นางจันทร์ประภาพระธิดาท้าวสุพิจารแห่งเมืองกุสุมาวดีเกิดความรักใคร่กับมนัสวีหนุ่มบุตรพราหมณ์ทันทีที่ได้สบตากัน ทั้งสองทนพิษความรักไม่ไหว ได้สลบไป มนัสวีได้สลบอยู่นานจนมีพราหมณ์ผู้มีวิชาสองคน คือ ศศีและมูลเทวะมาพบเข้า มูลเทวะตกลงช่วยมนัสวีและพามายังบ้านตนแล้วให้ลูกอมแก่มนัสวี เมื่ออมอยู่ในปากจะกลายเป็นหญิงสาว เมื่อคายออกจะกลายเป็นหนุ่มดังเดิม ส่วนมูลเทวะอมอีกลูกหนึ่งให้กลายเป็นพราหมณ์แก่แล้วพามนัสวีเข้าวังไปขอฝากไว้กับท้าวสุพิจารโดยทูลว่าเป็นภรรยาของบุตรตน ท้าวสุพิจารโปรดให้มนัสวีอยู่กับพระธิดา ทั้งสองจึงได้อยู่ร่วมกัน วันหนึ่งมนัสวีได้ตามเสด็จท้าวสุพิจารไปบ้านมหาอำมาตย์ บุตรโกษาธิยดีได้พบก็หลงรักจึงให้บิดาไปทูลขอมนัสวีจากพระราชา มนัสวีจึงต้องไปอยู่บ้านโกษาธิบดี วันหนึ่งอมลูกอมพลาดลื่นลงไปในลำคอไม่สามารถแปลงเป็นหญิงได้จึงหลบหนีไป ศศีทราบดังนั้นจึงออกอุบายที่จะได้พระธิดามาเป็นภรรยา มูลเทวะจึงให้ศศีอมลูอมกลายเป็นพราหมณ์หนุ่มแล้วพาเข้าวัง มูลเทวะทูลพระราชาว่าบุตรชายได้กลับมาแล้วจะขอรับภรรยาคืน พระราชาจำต้องยกพระธิดาให้แก่ศศีตามคำขู่ของมูลเทวะ เมื่อมนัสวีทราบจึงตามไปขอพระธิดาจาดศศีคืนโดยอ้างว่าเป็นภรรยาตน เวตาลแสดงความเห็นว่าแม้จะไม่มีใครเป็นพยานให้มนัสวีแต่คนก็คงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดเช่นนั้นจึงทรงแสดงความเห็นคัดค้าน เวตาลจึงได้โอกาสกลับไปยังต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง
นิทานเรื่องที่ ๘
พระยศเกตุราชาแห่งแคว้นองคะ สดับเรื่องนางทิพย์ที่ทีรฆะทรรศินผู้เป็นมุขมนตรีเล่าถวาย มีพระหฤทัยใคร่ได้นางมาเป็นชายา จึงแต่งพระองค์เป็นดาบสออกเดินทางไปพบลักษมีทัตต์พ่อค้าแล้วเสด็จลงเรือไปด้วย ได้พบนางทิพย์นั่งดีดพิณและขับลำนำบนต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งมีกิ่งก้านเป็นทองคำ โผล่ขึ้นมาเหนือคลื่นน้ำแห่งท้องทะเลแล้วหายไปโดยเร็วดังคำบอกเล่า จึงตั้งใจอธิฐานต่อพระสมุทร ขอให้สมหวังในความรักแล้วทรงโจมลงน้ำได้ทอดพระเนตรเห็นเมืองอันวิจิตรและนางทิพย์ในเมืองนั้น จึงได้มีความสุขอยู่ร่วมกัน วันหนึ่งพระยศเกตุได้แอบทอดพระเนตรเห็นรากษสจับนางทิพย์กลืนกินจึงชักพระแสงดาบฟันรากษสคอขาด ก็เห็นนางออกมาจากกายรากษสโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงตรัสถามนางว่าเพราะเหตุใด คำถามนั้นเองทำให้นางพ้นคำสาปและระลึกชาติได้ นางทูลเล่าว่านางเป็นธิดาของเมืองนี้ ถูกบิดาสาปแล้วพระบิดาได้หนีไปอยู่เขานิษธในโลกมนุษย์ เมื่อนางพ้นคำสาปนางจะต้องรีบไปเฝ้าพระบิดาแต่พระยศเกตุทรงขอให้นางอยู่ต่ออีก ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๗ ก็ตรัสชวนนางเข้าไปในห้องที่มีอ่างแก้วอันเป็นประตูสู่โลกมนุษย์ แล้วทรงกอดนางพาโจมลงอ่างไปผุดขึ้นในสระอุทยานแคว้นองคะ เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์พ้น ๗ วัน นางจะกลับคืนสู่พวกตนก็เหาะไม่ขึ้นจึงต้องอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป ฝ่ายทีรฆะทรรศินเมื่อทราบเรื่องก็เฝ้าแต่ตรึกตรองเรื่องนี้จนดับชีวิตไปด้วยความเสียใจ เล่าจบเวตาลทูลถามว่าทีรฆะทรรศินเสียใจตายเพราะเหตุใด พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็น พระวิกรมาทิตย์ทรงคัดค้าน เวตาลก็ลอยกลับไปอยู่ที่ต้นอโศกตามเดิม
นิทานเรื่องที่ ๙
นางมุกดาวลี บุตรพราหมณ์หริทาส มีความงามเลื่องลือไปทุกทิศ มีชายหลงรักมากมาย ได้มีชายสี่คนมาขอไปเป็นภรรยา ทริทาสจึงมาแสดงความรู้ประชัน คนที่ ๑ และ ๒ ไม่เป็นที่พอใจจึงเชิญกลับึ คนที่ ๓ คุณากร และคนที่ ๔ รัตนทัตต์ ให้มาประชันกันใหม่ แล้วพราหมณ์หริทาสก็ตัดสินใจยกนางให้รัตรทัตต์ มาหเสนีชายคนที่ ๑ ทราบเรื่อง ก็มาพาลพูดว่าหากไม่ได้นางเป็นภรรยาจะฆ่าตัวตาย รัตนทัตต์จึงประชดบอกให้ทำตามที่พูด มหาเสนีจึงฆ่าตัวตายแล้วเป็นรากษสมาพานางไปไว้ที่ยอดเขาหิมาลัย รัตนทัตต์ขอให้คุณากรช่วย ทั้งสองตามนางกลับมาได้ แล้วพานางไปอยู่ที่บ้านของรัตนทัตต์ คุณากรสัณณาว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนจึงติดตามไปด้วย ระหว่างทาง คืนหนึ่งนางมุกดาวลีฝันร้ายจึงเล่าให้สามีฟัง รัตนทัตต์ทำนายว่าจะเกิดเหตุร้าย จึงหยิบด้ายออกมาเส้นหนึ่งตัดออกเป็นสามเส้น แจกกันคนละเส้น อธิบายว่าถ้าเกิดเหตุเป็นภัยแก่ร่างกายให้ผูกเชือกเข้าไปที่แผลก็จะหาย แล้วสอนมนต์ชุบคนตายให้คืนชีพแก่ภรรยาและเพื่อน ไม่นานทั้งสามก็พบพวกกิราตะ เกิดสู้รบกัน รัตนทตต์และคุณากรถูกคัดศรีษะขาด นางมุกดาวลีเมื่อได้สติแล้วได้นำศรีษะกับตัวของชายทั้งสองมาติดต่อกันแล้วทำพิธีชุบชีวิต แต่ด้วยนางมีความตื่นตระหนกอยู่จึงทำให้ต่อตัวกับศรีษะของชายทั้งสองสลับกัน เมื่อชุบชีวิตแล้วฟื้นแล้วจึงเกิดปัญหาโต้เถียงกัน ไม่อาจตัดสินได้ว่านางเป็นภรรยาของใคร พระธรรมธวัชทรงนึกขันจึงทรงพระสรวลขึ้น พระวิกรมาทิตย์ไม่สู้พอพระทันักจึงทรงอธิบายแพระโอรสเวตาลแสดงความเห็นโต้แย้ง แล้วก็กลับไปอยู่ที่ตันอโศก
นิทานเรื่องที่ ๑๐
ท้าวมหาพล พระราชาแห่งกรุงธรรมปุระมีมเหสีที่ยังดูสาว เทียบกับพระธิดาแล้วก็ราวพี่น้อง เมื่อเกิดสงครามท้าวมหาพลได้พานางทั้งสองหนีไป ผ่านหมู่บ้านภิลล์ซึ่งเป็นหมู่บ้านโจร เกิดการต่อสู้กัน ท้าวมหาพลสิ้นพระชนม์ นางทั้งสองหนีไปได้ ฝ่ายพระราชาจันทรเสรกับพระราชบุตรทรงม้าล่าสัตว์ไปตามแนวป่า ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสตรีสองคนจึงทรงตกลงกันว่าพระราชาเลือกนางผู้มีรอยเท้าใหญ่ พระราชบุตรจะเลือกนางผู้มีรอยเท้าเล็กมาเป็นชายา ครั้งเสด็จไปพบพระมเหสีและพระธิดาแห่งท้าวมหาพลแล้วจึงทรงรับนางทั้งสองไปอภิเษก ปรากฎว่าพระราชาจัทรเสนอภิเษกกับพระธิดา และพระราชบุตรอภิเษกกับพระมเหสีแห่งท้าวมหาพล เล่าถึงเพียงนี้ เวตาลก็ตั้งปัญหาว่าบุตรธิดาที่เกิดแต่คู่อภิเษกทั้งสองคู่นี้จะนับญาติกันอย่างไร พระวิกรมาทิตย์ทรงตรึกตรองแต่ก็ไม่ทรงตอบประการใด ในที่สุดก็เสด็จนำเวตาลถึงป่าช้า ณ บริเวณประกอบพิธีของโยศีศานติศีล
ปลายเรื่อง
เมื่อพระวิกรมาทิตย์ไม่ตรัส เวตาลก็ถวายความรู้ที่เป็นประโยชน์แด่พระองค์ เมื่อพระองค์นำข้าพเจ้าไปให้โยคีในคืนวันนี้ โยคีศานติศิลก็จะตัดเศียรของพระองค์ทางเบื้องหลัง เวตาลได้ให้ข้อคิดว่า บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจฆ่าตนได้โดยคลองธรรม ครั้นทูลเสร็จเวตาลก็ออกจากศพที่สิงอยู่ พระวิกรมาทิตย์และราชบุตรเสด็จพระดำเนินไปจนถึงที่ที่โยคีศานติศิลกำลังทำ พิธีอยู๋กลางป่าช้าวางย่ามศพลงตรงหน้าโยคี โยคีแสดงความยินดีและขอให้พระราชาทำความเคารพเทวรูปโดยอัษฎางคประณตแต่พระ ราชารู้ทันแล้วจึงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่าขอให้โยคีทำให้ดูก่อน โยคีก็ตกหลุมพรางจึงก้มลงกราบอัษฎางคประณต พราะวิกรมาทิตย์ใช้พระแสงดาบฟันศีรษะขาด ขณะนั้นเทวรูปคว่ำลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหนี่ยวพระองค์กระชากไปโดยแรง พระราชาจึงหลีกพ้นเทวรูปรอดชีวิตไปได้ ในทันใดนั้นมีเสียงกล่าวในอากาศว่า “บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม” แลมีเสียงดนตรีแลคำอวยชัยมาจากในฟ้า ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวารก็เสด็จมาเฉพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพรๆ หนึ่ง พระวิกรมาทิตย์ทูลว่า “ข้าแต่พระจอมสวรรค์ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้านี้ ปรากฏไปในโลกชั่วกาลนาน” พระอินทร์ตรัสว่า “เราให้พรแก่ท่านดังขอ แลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟ้า
ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดมีพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “เมื่อข้าเรียกเจ้าจงมาทันที” แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้
ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดมีพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “เมื่อข้าเรียกเจ้าจงมาทันที” แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น